ความหมาย และประเภทของ “โวหาร”

X

ความหมายของโวหาร

Advertisements

โวหารคือถ้อยคำที่ใช้ในการสื่อสารที่เรียบเรียงเป็นอย่างดี มีวิธีการ มีชั้นเชิงและมีศิลปะ เพื่อสื่อให้ผู้รับสารรับสารได้อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจนและลึกซึ้ง และรับสารได้ตามวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสาร

วิธีการเขียนเรียบเรียงข้อความให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง โวหารที่ใช้ใน การเขียนเรียงความ ได้แก่ พรรณนาโวหาร บรรยายโวหาร อุปมาโวหาร เทศนาโวหาร เทศนา โวหาร สาธกโวหารและอธิบายโวหารหาร

ประเภทของโวหาร

การเขียนเรื่องราวอาจใช้โวหารต่าง ๆ กันแล้วแต่ชนิดของข้อความ โวหารอาจจำแนก ตามลักษณะ ของข้อความหรือเนื้อหาเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ ดังนี้

บรรยายโวหาร

การเขียนอธิบายหรือบรรยายเหตุการณ์ที่เป็น ข้อเท็จจริงตามล าดับเหตุการณ์ เป็นการเขียนตรงไปตรงมา ไม่เยิ่นเย้อ มุ่งความชัดเจน เพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้ ความเข้าใจ เช่น การเขียนเล่าเรื่อง เล่าเหตุการณ์ การเขียน รายงาน เขียนต าราและเขียนบทความ

คือ โวหารที่ใช้บอกกล่าว เล่าเรื่อง อธิบาย หรือบรรยายเรื่องราว เหตุการณ์ ตลอดจนความรู้ต่าง ๆ อย่างละเอียด เป็นการกล่างถึงเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน โดยชี้ให้เห็นถึงสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ สาเหตุที่ก่อให้เกิด เหตุการณ์ สภาพแวดล้อม บุคคลที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผลที่เกิดจากเหตุการณ์นั้น เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจเนื้อหา สาระอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน เนื้อหา ที่บรรยายอาจเป็นเรื่องที่สมมุติหรือเรื่องจริงก็ได้ เรื่องที่ใช้บรรยายโวหาร ได้แก่ การเขียนตำรา รายงาน บทความ เรื่องเล่า จดหมาย บันทึก ชีวประวัติ ตำนาน เหตุการณ์ บรรยายภาพ บรรยายธรรมชาติ บรรยายบุคลิกลักษณะบุคคล สถานที่ รายงานหรือจดหมายเหตุ การรายงานข่าว การอธิบายความหมายของคำ การอธิบายกระบวนการ การแนะนำ วิธีปฏิบัติในเรื่องต่าง ๆ เป็นต้น

ตัวอย่างบรรยายโวหาร

“ภูเขาไฟฟูจิเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นมาหลายศตวรรษแล้ว แต่แรกภูเขานี้เป็นที่เคารพบูชา ของชนพื้นเมืองเผ่าไอนุซึ่งปัจจุบันยังอยู่ตามหมู่เกาะฮอกไกโด ซึ่งเป็นเกาะใหญ่ ที่อยู่เหนือสุดชาวไอนุขนานนาม ภูเขานี้ตามชื่อเทพธิดา “ฟูชิ” ( fuchi) ผู้เป็นเทพธิดาแห่งอัคคี ชาวญี่ปุ่นยังคงนับถือภูเขาไฟฟูจิต่อมา และเรียกชื่อตามที่พวกไอนุตั้งไว้ บรรดาผู้นับถือศาสนาชินโตเชื่อว่าในธรรมชาติทุกรูปแบบจะมีเทพ หรือ กามิ ( kami ) สถิตอยู่ แต่เทพที่สถิตในภูเขาจะศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ ภูเขาฟูจิซึ่งสูงที่สุดและงามที่สุดในประเทศ จึงได้รับความเคารพเป็นพิเศษ เพราะถือว่าเป็นสถานที่สถิตของทวยเทพ เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างความ ลึกลับของสวรรค์ และความเป็นจริงของโลกมนุษย์”

(เกศกานดา จตุรงคโชค (บรรณาธิการ): โลกพิสดาร แดนพิศวง)

“ช้างยกขาหน้าให้ควาญเหยียบขึ้นนั่งบนคอ ตัวมันสูงใหญ่ ใบหูไหว พะเยิบ หญิงบนเรือนลงบันไดมาข้างล่าง เธอชูแขนยื่นผ้าขาวม้าและข้าวห่อใบตองขึ้นมา ให้เขา”

พรรณนาโวหาร

การเรียบเรียงข้อความโดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับ บุคคล สิ่งของ ธรรมชาติ สภาพแวดล้อม ตลอดจนความรู้สึกต่างๆของผู้เขียน โดยเน้น ให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมกับผู้เขียน

คือ โวหารที่ใช้กล่าวถึงเรื่องราว สถานที่ บุคคล สิ่งของ หรืออารมณ์อย่างละเอียด สอดแทรกอารมณ์ ความรู้สึกลงไปเพื่อโน้มน้าวใจ ให้ผู้รับสารเกิดภาพพจน์ เกิดอารมณ์คล้อยตามไปด้วย ใช้ในการพูดโน้มน้าว อารมณ์ของผู้ฟัง หรือเขียนสดุดี ชมเมือง ชมความงามของบุคคล สถานที่และแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ เป็นต้น การใช้พรรณนาโวหาร ควรมีความประณีตในการเลือกใช้ถ้อยคำสำนวนที่ไพเราะเพราะพริ้ง เล่นคำ เล่นอักษร ใช้ถ้อยคำทั้งเสียงและความหมายให้ตรงกับความรู้สึกที่ต้องการพรรณนา รู้จักปรุงแต่งถ้อยคำ ให้ผู้รับสารเกิดภาพพจน์ ใช้โวหารเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน รู้จักเลือกเฟ้นเนื้อหาว่าส่วน ใดควรนำมาพรรณนา ต้องเข้าใจเนื้อหาที่จะพรรณนาเป็นอย่างดี และพรรณนาให้เป็นไปตามอารมณ์ความรู้สึก โดยไม่เสแสร้ง บางกรณีอาจต้องใช้อุปมาโวหารหรือสาธกโวหารประกอบด้วย

ตัวอย่างพรรณาโวหาร

“เขาใช้แขนยันพื้นดิน อาการเหนื่อยอ่อน กลิ่นน้ำฝนบนใบหญ้าและกลิ่นไอดินโซนเข้าจมูกวาบหวิว อยากให้มีใครซักคนผ่านมาพบ เพื่อพาเขากลับไปหาหมอในหมู่บ้าน มดหลายตัวเดินสวนขบวนผ่านไปมา มันไม่มีทีท่าจะสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย เขามองดูมันอย่างเลื่อนลอยทำไมมัน จึงเฉยเมยกับฉัน มันคงรู้แน่ ฉันอยากให้มันเป็นคนจริงๆ ฉันจะต้องกลับบ้านให้ได้ เขาคิดพลางเหม่งมองดูยอดสนของหมู่บ้าน หาดเสี้ยวเห็นอยู่ไม่ไกล ดวงอาทิตย์สีแดงเข้มกำลังคล้อยลงเหนือยอดไม้ทางทิศตะวันตก”

(นิคม รายวา: คนบนต้นไม้)

“สมใจเป็นสาวงามที่มีล าแขนขาวผ่องทั้งกลมเรียวและอ่อนหยัด ผิวขาวละเอียดเช่นเดียวกับแขน ประกอบด้วยหลังมืออวบนูน นิ้วเล็กเรียว หลังเล็บมีสี ดังกลีบดอกบัวแรกแย้ม”

สาธกโวหาร

การหยิบตัวอย่างมาอ้างอิงประกอบการอธิบายเพื่อ สนับสนุนข้อความที่เขียนไว้ให้ผู้อ่านเข้าใจ และเกิดความเชื่อถือ

คือ โวหารที่มุ่งให้ความชัดเจนโดยการยกตัวอย่างหรือเรื่องราวประกอบการอธิบาย เนื้อหาสาระ เพื่อสนับสนุน ข้อคิดเห็นต่าง ๆ ให้หนักแน่น สมเหตุสมผล ทำให้ผู้รับสารเข้าใจเนื้อหา สาระในสิ่งที่พูด หรือเขียนอย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน ดูสมจริง หรือน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ตัวอย่างหรือเรื่องราว ที่ยกขึ้นประกอบอาจเป็นเรื่องสั้น ๆ หรือเรื่องราวยาว ๆ ก็ได้ตามความเหมาะสม เช่น ประสบการณ์ตรงของผู้ส่งสาร เรื่องราวของบุคคล เหตุการณ์ นิทาน ตำนาน วรรณคดี เป็นต้น สาธกโวหารมักใช้เป็นอุทาหรณ ์ประกอบอยู่ในเทศนาโวหาร หรืออธิบายโวหาร การใช้สาธกโวหาร ควรใช้ถ้อยคำภาษาที่เข้าใจง่าย รู้จักเลือกว่าเนื้อหาตอนใดควรใช้ตัวอย่าง หรือเรื่องราวประกอบ และตัวอย่างที่ยกมา ประกอบต้องสอดคล้องกับเนื้อหา และเป็นเรื่องที่น่าสนใจ สมเหตุสมผล สาธกโวหารมักแทรกอยู่ในโวหารอื่น ๆ เช่น บรรยายโวหาร หรือเทศนาโวหาร

ตัวอย่างสาธกโวหาร

“ถ้าเธอไม่อยากอยู่กับฉันจริงจริง ยินยอมทุกสิ่ง ให้เธอทิ้งไป ฉันขอแค่เพียงให้เวลาหน่อยได้ไหม อยากเล่านิทานให้ฟัง ชาวนาคนหนึ่งมีชีวิตลำพัง ไปเจองูเห่ากำลังใกล้ตายสงสาร จึงเก็บเอามาเลี้ยงโดยไม่รู้ สุดท้ายจะเป็นอย่างไร คอยดูแลด้วยความจริงใจ ห่วงใย และคอยให้ความรักเป็นกังวลว่ามันจะตาย เฝ้าคอยเอาใจทุกอย่าง แต่สุดท้ายชาวนาผู้ชายใจดี ด้วยความ ที่เขาไว้ใจ น่าเสียดายกลับต้องตาย ด้วยพิษงู นิทานมันบอกให้ยอมรับความจริง ว่ามีบางสิ่ง ไม่ควรไว้ใจ อะไรบางอย่างที่ทำดีซักแค่ไหน ไม่เชื่อง ไม่รัก ไม่จริง”

(สีฟ้า: ชาวนากับงูเห่า)

“อำนาจความสัตย์เป็นอ านาจอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงแต่จับหัวใจคน แม้แต่สัตว์ก็ยังมีความรู้สึกในความสัตย์ซื่อ เมื่อกวนอูตายแล้ว ม้าของกวนอูก็ไม่ยอมกิน หญ้ากินน้ำและตายตามเจ้าของไปในไม่ช้า ไม่ยอมให้หลังของมันสัมผัสกับผู้อื่นนอกจาก นายของมัน”

อธิบายโวหาร

คือ โวหารที่ทำให้ความคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งกระจ่างชัดเจนขึ้น มักใช้ ในงานเขียนทางวิชาการ และตำรับตำราต่าง ๆ โดยมีจุดประสงค์จะนำประเด็นที่สงสัยมาอธิบายให้เข้าใจแจ่มแจ้ง การเล่าเรื่องบางตอนถ้ามีประเด็นใดที่เป็นปัญหาก็อาจใช้อธิบายโวหารเสริมความตอนนั้นจนเรื่องกระจ่างชัดเจนขึ้น บางท่านจึงถือว่าอธิบายโวหารเป็นส่วนหนึ่งของบรรยายโวหาร อธิบายโวหารนี้มักใช้ในการอธิบายกระบวนการ การวิเคราะห์หรือจำแนกเนื้อหาออกเป็นประเภท หรือเป็นพวก และการอธิบายความหมายของคำ (จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ และบาหยัน อิ่มสำราญ บรรณาธิการ, 2548, หน้า 48) การอธิบายมีหลายลักษณะ เช่น การอธิบายตามลำดับขั้น การอธิบายด้วยการให้นิยาม หรือคำจำกัดความ การยกตัวอย่าง การเปรียบเทียบ การชี้สาเหตุและผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กัน และการใช้อุปกรณ์หรือภาษาประกอบ

สุภัค มหาวรการ (2546, หน้า 11-14) กล่าวถึง หลักการเขียนอธิบายโวหารที่ดี มีการชี้รายละเอียดของเรื่องได้ชัดเจนและครบถ้วน มีการอ้างเหตุผลต่าง ๆ อย่างชัดเจนและเป็นเหตุเป็นผลกันดี มีการจัดลำดับขั้นตอนของเรื่องราวได้ดี ไม่วกวน และใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและถูกต้อง

ตัวอย่างอธิบายโวหาร

ศิลปินหรือผู้สร้างศิลปะก็คือหน่วยหนึ่งของสังคม ที่สำคัญได้แก่กลไกทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ การต่อสู้กับอิทธิพลดังกล่าวเป็นเรื่องซับซ้อนใหญ่โต เป็นต้นว่า ศิลปินและนักเขียนมีขอบข่าย แห่งเสรีภาพได้แค่ไหน เมื่อผู้ผลิตงานศิลปะจำเป็นต้องยังชีพจากผลงานของเขาด้วย เขาจะมีทางแก้ปัญหาปากท้องของตัวเองอย่างไร โดยเฉพาะในสังคมแบบทุนนิยม นากจากนี้ ปัญหาสำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ เมื่อศิลปะเป็นงานที่เสนอแก่สาธารณชนในแง่การค้า ปฏิปักษ์สำคัญยิ่งของศิลปะเพื่อชีวิตน่าจะมิใช่ศิลปะเพื่องานศิลปะ แต่เป็นศิลปะสุกเอาเผากินซึ่งมุ่งมอมเมา ประชาชนให้หนีจากความเป็นจริงของชีวิตมาสู่โลกของกามารมณ์ หรือเรื่องตื่นเต้นหวือหวาไร้สาระซึ่งขายดี ติดตลาดและแพร่หลายในหมู่ประชาชน

(ณรงค์ จันทร์เรือง: ศิลปะเพื่อชาติ)

อุปมาโวหาร

หมายถึงการเขียนเป็นส านวนเปรียบเทียบที่มีความคล้ายคลึงกัน เพื่อท าให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยการเปรียบเทียบสิ่งของที่เหมือนกัน เปรียบเทียบโดยโยงความคิดไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง หรือเปรียบเทียบข้อความตรงกันข้ามหรือ ข้อความที่ขัดแย้งกัน

คือ โวหารที่กล่าวเปรียบเทียบ เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจความหมาย อารมณ์ความรู้สึก หรือเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น มักใช้ประกอบโวหารประเภทอื่น เช่น เทศนาโวหาร บรรยายโวหาร โดยเฉพาะพรรณนาโวหาร เพราะจะช่วยให้รสของถ้อยคำและรสของเนื้อความไพเราะสละสลวยยิ่งขึ้น ทั้งสารที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม การเปรียบเทียบอาจเปรียบความเหมือนกัน หรือคล้ายคลึงกัน เปรียบเทียบความขัดแย้ง หรือลักษณะตรงกันข้าม หรือเปรียบเทียบโดยให้ผู้รับสารโยง ความคิดหนึ่งไปสู่ อีกความคิดหนึ่ง โดยอาจกล่าวลอย ๆ หรืออาจใช้คำแสดงการเปรียบเทียบ ซึ่งมีอยู่หลากหลาย เช่น เหมือน เสมือน คล้าย ดุจ ดัง ดั่ง ดุจดั่ง ราว ดูราว ปาน เพียง ประหนึ่ง เช่น เฉก ฯลฯ การใช้อุปมาโวหารควรเลือกใช้ถ้อยคำที่เข้าใจง่าย และสละสลวย แสดงการเปรียบเทียบได้ถูกต้อง เหมาะสมกับเนื้อหา และจังหวะ ลีลา ซึ่งอาจกล่าวลอย ๆ ก็ได้ เนื้อหาที่จะเปรียบเทียบควรเป็นเนื้อหา ที่อธิบายให้เข้าใจได้ยาก เปรียบเทียบกับสิ่งที่เข้าใจได้ง่าย หรือสิ่งที่ผู้รับสารรู้ดีอยู่แล้ว และข้อความที่จะยกมา เปรียบเทียบ (อุปไมย) กับข้อความที่นำมาเปรียบเทียบ (อุปมา) จะต้องเหมาะสมกัน อุปมาโวหารใช้เป็นโวหาร เสริมบรรยายโวหาร พรรณนาโวหารและเทศนาโวหาร เพื่อให้ชัดเจนและน่าอ่านยิ่งขึ้น

ดังนี้เจ้าจะเห็นได้ว่าเมียที่พ่อจัดหาให้มีตระกูล สมชาติ สมเชื้อกันดี เพราะตระกูลของเราก็มั่งมี มีคนนับหน้าถือตา ญาติพี่น้องทั้งฝ่ายบิดามารดาของนางก็บริบูรณ์ รูปร่างงามหาตำหนิมิได้ ผมดำราวกับแมลงผึ้ง หน้าเปล่งปลั่งดั่งดวงจันทร์ เนตรประหนึ่งตากวาง จมูกแม้นดอกงา ฟันเทียบไข่มุก ริมฝีปากเพียงผลตำลึงสุก เสียงหวานปานนกโกกิลา ขาคือลำกล้วย เอวเหมาะเจาะไม่อ้วนเกิน เวลาย่างเดินแคล่วคล่องมีสง่าเสมอช้างทรง เพราะฉะนั้นเจ้าจะหาทางตำหนิขัดข้องมิได้เลย…

(เสฐียรโกเศศ: กามนิต)

“อันว่าแก้วกระจกรวมอยู่กับสุวรรณ ย่อมได้แสงจับเป็นเลื่อม พรายคล้ายมรกต ผู้ที่โง่เขลาแม้ได้อยู่ใกล้นักปราชญ์ ก็อาจเป็นคนเฉลียวฉลาดได้ฉัน เดียวกัน”

เทศนาโวหาร

การเขียนอธิบาย ชี้แจงให้ผู้อ่านเข้าใจ ชี้ให้เห็น ประโยชน์หรือโทษของเรื่องที่กล่าวถึง เป็นการชักจูงให้ผู้อื่นคล้อยตาม เห็นด้วยหรือเพื่อ แนะน าสั่งสอนปลุกใจหรือเพื่อให้ข้อคิดคติเตือนใจผู้อ่าน

คือ โวหารที่มุ่งโน้มน้าวใจให้เกิดความรู้สึกคล้อยตาม เป็นการกล่าวในเชิงอบรม แนะนำสั่งสอน เสนอทัศนะ ชี้แนะ หรือโน้มน้าว ชักจูงใจโดยยกเหตุผล ตัวอย่าง หลักฐาน ข้อมูล ข้อเท็จจริง สุภาษิต คติธรรมและสัจธรรม ต่าง ๆ มาแสดงเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจที่กระจ่างจนยอมรับเชื่อถือมีความเห็น คล้อยตาม และปฏิบัติตาม โวหารประเภทนี้มักใช้ ในการให้โอวาท อบรมสั่งสอน อธิบายหลักธรรม และคำชี้แจงเหตุผล ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การเสนอทัศนะ เป็นต้น การใช้เทศนาโวหารควรใช้ถ้อยคำภาษาให้เหมาะสมกับผู้รับสาร ใช้ถ้อยคำในการชี้แจงเหตุผลที่กล่าวถึง ให้แจ่มแจ้งชัดเจน และชี้แจงไปตามลำดับไม่สับสนวกวน ควรใช้โวหารอื่นประกอบด้วยเพื่อให้ชวนติดตาม การเขียนเทศนาโวหารต้องใช้โวหารประเภทต่าง ๆ มาประกอบอาจจะใช้บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร รวมทั้งอุปมาโวหารและสาธกโวหารด้วย มักใช้กับงานเขียนประเภทบทความชักจูงใจ หรือบทความแสดง ความคิดเห็น ความเรียง เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าเทศนาโวหารเป็นโวหารที่มุ่งสั่งสอน

“…เราโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านการรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางการ ออกเสียง คือ ให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีการใช้ หมายความว่า วิธีใช้คำมาประกอบเป็นประโยคนับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สาม คือ ความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้…” “…ในปัจจุบันนี้ปรากฏว่า ได้มีการใช้ถ้อยคำออกจะฟุ่มเฟือยและไม่ตรงกับความอันแท้จริง อยู่เนือง ๆ ทั้งการออกเสียงก็ไม่ถูกต้องตามอักขรวิธี ถ้าปล่อยให้เป็นดังนี้ภาษาของเราก็มีแต่ จะทรุดโทรม ชาติไทยเรามีภาษาของเราใช้เองเป็นสิ่งประเสริฐอยู่แล้ว เป็นมรดกอันมีค่าตกทอดมาถึงเรา ทุกคนมีหน้าที่จะต้องรักษาไว้…”

(พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)

“ การทำความดีนั้น เมื่อทำแล้วก็แล้วกัน อย่าได้นำมาคิดถึงบ่อย ราวกับว่าการทำความดีนั้นช่างยิ่งใหญ่นัก ใครก็ทำไม่ได้เหมือนเรา ถ้าคิดเช่นนั้นความดี นั้นก็จะเหลือเพียงครึ่งเดียวแต่ถ้าทำแล้วก็ไม่น่านำมาใส่อีก คิดแต่จะทำอะไรต่อไปอีกจึง จะดี จึงจะเป็นความดีทีสมบูรณ์ ไม่ตกไม่หล่น”


ใบงานเรื่องโวหาร

ingaplife

ความหมาย, ความสำคัญ ของคำว่ากตัญญู

X
Advertisements

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถสร้างความรู้สึกเชิงบวกของความกตัญญูหรือความกตัญญูที่อาจชี้นำผู้คนไปสู่ความหมายและสุขภาพที่ดีขึ้น

“จงปลูกฝังนิสัยสำนึกคุณต่อสิ่งดีๆ ที่เข้ามาหาคุณ และขอบคุณอย่างต่อเนื่อง และเนื่องจากทุกสิ่งมีส่วนในความก้าวหน้าของคุณ คุณจึงควรรวมทุกสิ่งไว้ในความกตัญญูของคุณ”

ความกตัญญูกตเวทีเป็นอารมณ์คล้ายกับความกตัญญู และการวิจัยทางจิตวิทยาเชิงบวกพบเหตุผลทางระบบประสาทว่าทำไมคนจำนวนมากจึงสามารถได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติทั่วไปในการแสดงความขอบคุณสำหรับชีวิตของเรา แม้ในช่วงเวลาของความท้าทายและการเปลี่ยนแปลง

ในการเริ่มต้น เราต้องกำหนดสิ่งที่เราหมายถึงโดย “ความกตัญญูกตเวที”

ความหมายของคำว่ากตัญญู

  • “ความกตัญญูคือ ความขอบคุณสำหรับสิ่งที่บุคคลได้รับ ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือจับต้องไม่ได้ ผู้คนรับรู้ถึงความดีในชีวิตด้วยความกตัญญู… ผลที่ได้คือความกตัญญูยังช่วยให้ผู้คนเชื่อมต่อกับสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเองในฐานะปัจเจก ไม่ว่าจะกับคนอื่น ธรรมชาติ หรือพลังที่สูงกว่า”
  • “ความซาบซึ้งในสิ่งที่มีค่าและมีความหมายต่อตนเองและแสดงถึงสภาพโดยทั่วไปของความกตัญญูกตเวทีและ/หรือความกตัญญู”
  • “อารมณ์ทางสังคมที่ส่งสัญญาณการรับรู้ถึงสิ่งที่คนอื่นทำเพื่อเรา”
  • “ถ้าเราได้รับสิ่งดีๆ จากการแลกเปลี่ยน ความพยายามหรือความสำเร็จ หรือโดยชอบ เรามักจะไม่รู้สึกขอบคุณ ความกตัญญูกตเวทีคืออารมณ์ที่เรารู้สึกตอบสนองต่อการได้รับสิ่งดีที่ไม่สมควรได้รับ”
  • “ความกตัญญูกตเวทีเป็นอารมณ์เชิงบวกที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อบุคคลอื่น ผู้มีพระคุณ ทำสิ่งที่ดีเพื่อตนเอง”
  • “ความกตัญญูไม่ใช่สินค้าที่จัดส่งเพื่อตอบสนองต่อการชำระเงิน เป็นการตอบสนองต่อของขวัญ… ความกตัญญูกตเวทีเป็นการตอบสนองต่อของกำนัลเป็นรูปแบบหนึ่งของความเอื้ออาทรของการให้เครดิตผู้อื่นอย่างมีน้ำใจในสิ่งที่ไม่ได้เป็นหนี้”
  • “ได้รับการกำหนดแนวคิดเป็นอารมณ์ คุณธรรม ความรู้สึกทางศีลธรรม แรงจูงใจ การตอบสนองในการเผชิญปัญหา ทักษะ และทัศนคติ มันคือทั้งหมดเหล่านี้และอื่นๆ ความกตัญญูคือการตอบสนองทางอารมณ์ต่อของขวัญ มันเป็นความรู้สึกขอบคุณหลังจากที่ได้รับผลประโยชน์จากการกระทำที่เห็นแก่ผู้อื่น”
  • “ความกตัญญูมีความหมายสองประการ: ความกตัญญูกตเวทีทางโลกและเหนือธรรมชาติ ในความหมายทางโลก ความกตัญญูเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในการแลกเปลี่ยนระหว่างบุคคลเมื่อบุคคลหนึ่งยอมรับว่าได้รับผลประโยชน์อันมีค่าจากอีกคนหนึ่ง ความกตัญญูกตเวทีเป็นสภาวะทางปัญญาที่มักเกี่ยวข้องกับการรับรู้ว่าบุคคลได้รับผลประโยชน์ส่วนตัวที่ไม่ได้แสวงหาโดยเจตนาสมควรได้รับหรือได้รับ แต่เป็นเพราะเจตนาดีของบุคคลอื่น”

คำจำกัดความของความกตัญญูเหล่านี้จะให้บริบททางจิตวิทยา สังคม และศาสนาสำหรับอารมณ์เชิงบวกนี้ ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับคำจำกัดความทั้งหมดหรือระบุด้วยคำจำกัดความใดๆ ตอนนี้เราก็พร้อมที่จะเจาะลึกถึงบทบาทที่มากขึ้นในด้านสุขภาพและชีวิตประจำวันของเรา

โดยสรุป ความกตัญญูเป็นอารมณ์เชิงบวกที่รู้สึกได้หลังจากที่ได้รับของขวัญบางประเภท นอกจากนี้ยังเป็นอารมณ์ทางสังคมที่มักมุ่งไปที่บุคคล (ผู้ให้ของขวัญ) หรือรู้สึกได้ถึงพลังที่สูงกว่า

ความสำคัญของความกตัญญู

การใช้ชีวิตด้วยความกตัญญูทำให้เรามีการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกมากมาย และช่วยให้เราสังเกตเห็นชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ เช่น แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ใครบางคนกล่าวคำชมเชยเรา หรือการสังสรรค์ในยามเย็นกับครอบครัวของเรา เมื่อเพิ่มความกตัญญูต่อนิสัยประจำวันของตนเองแล้ว จะปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สุขภาพจิตและร่างกายของคุณเปลี่ยนแปลงไปอย่างดีที่สุด ทำให้คุณสังเกตเห็นความปิติยินดีและความสุขในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ

ความกตัญญูดีอย่างไร

เสริมสร้างสุขภาพจิต

ความกตัญญูกตเวทีผู้คนจากอารมณ์เชิงลบโดยเปลี่ยนความสนใจของเราออกจากอารมณ์เชิงลบและมุ่งเน้นไปที่อารมณ์เชิงบวกอาจต้องใช้เวลาเพื่อให้รู้สึกดีขึ้นหลังจากฝึกขอบคุณ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องอดทนรอรับผลประโยชน์การแสดงความกตัญญูต่อบุคคลหรือสิ่งของมีผลยาวนานต่อสมอง หมายความว่าการฝึกความกตัญญูอาจช่วยฝึกสมองให้ไวต่อความรู้สึกขอบคุณมากขึ้น ส่งผลให้สุขภาพจิตของเราดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

การใช้ชีวิตด้วยความกตัญญูทำให้เรารู้สึกมีความสุขและปีติมากขึ้น เรารู้สึกสงบ สบายขึ้น และพอใจกับชีวิตมากขึ้น อารมณ์ทั้งหมดเหล่านี้เชื่อมโยงกับการมองโลกในแง่ดีและช่วยให้เรามองอนาคตของคุณในแง่ดี

เราทุกคนรู้ดีว่าชีวิตของเราขึ้นอยู่กับความคิดของเรา และการจดจ่อกับแง่ลบทำให้เกิดการปฏิเสธมากขึ้น ดังนั้น ความกตัญญูจะช่วยให้คุณสังเกตเห็นช่วงเวลาดีๆ ในชีวิต ส่งเสริมการมองโลกในแง่ดีและแง่บวกของเรา

เสริมสร้างสุขภาพร่างกายของคุณ

พื้นที่ความกตัญญูเกี่ยวข้องกับส่วนต่างๆ ของสมองที่ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ ดังนั้นการรู้สึกขอบจะช่วยให้เราคลายเครียดได้เพราะเราเริ่มรู้สึกพึงพอใจกับชีวิตมากขึ้น โดยการเปลี่ยนความสนใจจากอารมณ์ที่เป็นพิษ ความกตัญญูยังทำให้เรารู้สึกดีขึ้นและรู้สึกเจ็บปวดน้อยลงเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น คนที่มีสุขภาพจิตดีมักจะดูแลสุขภาพของตนเองมากกว่าคนอื่นๆ พวกเขามักจะเล่นกีฬาเป็นประจำ เข้ายิม หรือทำกิจกรรมอื่นๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดี

นอกจากนี้คนที่กตัญญูนอนหลับดีขึ้น การใช้เวลาเพียง 10-15 นาทีในการเขียนสองสามบรรทัดเพื่อแสดงความขอบคุณก่อนเข้านอนจะช่วยให้นอนหลับได้นานขึ้นและดีขึ้น

ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี

ความกตัญญูทำให้ผู้รับรู้สึกดีขึ้น แต่งานวิจัยจำนวนมากพิสูจน์ว่าความกตัญญูเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ตัวอย่างเช่น งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าผู้คนอาจรู้สึกมีแรงจูงใจมากขึ้นที่จะสร้างความสัมพันธ์กับผู้ที่ทำบางสิ่งเพื่อพวกเขา และความกตัญญูที่ช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ในกรณีนี้

ความรู้สึกขอบคุณก็มีส่วนสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่า คู่รักที่รู้สึกซาบซึ้งจะตอบสนองต่อความต้องการของคู่รักได้มากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากผู้คนรับรู้และแสดงความสำคัญของคู่รักด้วยความกตัญญู พวกเขาอาจทำมากกว่านั้นเพื่อรักษาความสัมพันธ์

ingaplife

คนกตัญญู

ความหมายศีลธรรม ทั้งในสังคม, ศาสนา, กฏหมาย

X
Advertisements

ศีลธรรมคือชุดของมาตรฐานที่ช่วยให้ผู้คนสามารถอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มได้ เป็นสิ่งที่สังคมกำหนดว่า “ถูกต้อง” และ “เป็นที่ยอมรับ” บางครั้งการประพฤติปฏิบัติอย่างมีศีลธรรมหมายความว่าบุคคลต้องเสียสละผลประโยชน์ระยะสั้นของตนเองเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม บุคคลที่ขัดต่อมาตรฐานเหล่านี้อาจถือว่าผิดศีลธรรม

ศีลธรรมเกิดขึ้นได้อย่างไร

ศีลธรรมไม่คงที่ สิ่งที่ถือว่ายอมรับได้ในวัฒนธรรมของคุณอาจไม่เป็นที่ยอมรับในวัฒนธรรมอื่น พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ศาสนา ครอบครัว และประสบการณ์ชีวิตล้วนมีอิทธิพลต่อศีลธรรม

ความหมายของคำว่าศีลธรรม

คำว่าศีลธรรม แปลตามตัวคือ ธรรมที่ดำรงความเป็นปกติสุขของมนุษย์ ซึ่งตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า moral คือ หมายถึงประเพณีหรือวิถีของชีวิต ในปัจจุบัน ใช้ในความหมายถึงตัวของความประพฤติโดยตรง

หลักเกณฑ์สำคัญของศีลธรรม คือการสร้างกฏที่ทำให้คนมีพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น มีความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น มีความประพฤติดี เว้นสิ่งที่ควรเว้น ทำสิ่งที่ควรท า แสวงหาคำตอบว่า อะไรดี อะไรชั่ววิเคราะห์เบื้องต้นแห่งพฤติกรรมมนุษย์ว่า เขาประพฤติเช่นนั้น เพราะอะไร มีอะไรอยู่เบื้องหลังแห่งการกระทำนั้น จริยศาสตร์ จึงเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยอุดมคติทางศีลธรรม นิสัย อุปนิสัยและอัธยาศัย เป็นส่วนภายในของคน รู้สิ่งเหล่านี้ได้จากความประพฤติที่ปรากฏออกมาทางกาย วาจา จริยศาสตร์จึง เป็นศาสตร์ที่พูดถึงความดีสูงสุดของมนุษย์เท่าที่มนุษย์จะมีได้ จะบรรลุถึงได้ ให้เลือกท าสิ่งที่มีคุณค่าเหนือกว่า เมื่อมีสิ่งที่มีคุณค่าด้วยกันหลายๆ อย่าง ดังนั้น ศีลธรรม จึงว่าด้วยความถูก ความผิด ความดี ความชั่ว และวิเคราะห์ถึงความดี ถึงความดีตามอุดมคติในสังคม ไม่ใช่ความดีของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเห็นว่าดี แต่ต้องการให้เป็นความดีสากลที่เรียกว่า ความดีแบบภาววิสัย

ศีลธรรมเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ของการประพฤติปฏิบัติที่มนุษย์แสดงออกมาตามครรลองของชีวิตและสังคมซึ่งได้รับการอบรมฝึกฝนขัดเกลามาจากอดีต เป็นการบังคับความคิด ความต้องการของตนตามหลักเหตุผลเพื่อไม่ให้ปัจเจกชนและสังคมด าเนินไปตามอารมณ์ความเห็นแก่ตัวอย่างผิดพลาดจนเป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนของตนเองและสังคม ซึ่งหากละเมิดย่อมควรได้รับการทำโทษ

องค์ประกอบของศีลธรรมพื้นฐานคือ

  1. การตัดสินใจซึ่งมีวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง
  2. ประกอบด้วยเหตุผลที่ตัดสินไว้ว่าสิ่งซึ่งถือเป็นสินใจนั้นจะต้องเป็นส่วนที่เหมาะสม
  3. ศีลธรรมต้องประกอบด้วยกฎเกณฑ์ หลักการอุดม และคุณธรรมบางอย่างที่มีแรงกระตุ้นให้ทำการนั้น
  4. ศีลธรรมประกอบด้วยการตัดสินใจตามความรู้สึกเฉพาะของแต่ละคนโดยความรู้สึกนั้นต้องมีเหตุผลสนับสนุนให้คล้อยตามกฎเกณฑ์ หลักการ และอุดมคติ
  5. ศีลธรรมเป็นแรงผลักหรือแรงเสริมจงใจบางอย่างและอาจแสดงออกในการตัดสินทางวาจาคือการต้องรับผิดชอบ ทั้งการสรรเสริญและการทำโทษตำหนิเป็นหลัก

ศีลธรรมกับสังคม

มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ทั่วไปตรงที่สามารถใช้เหตุผลมากกว่าสัญชาตญาณการสร้างสำนึกผิด ชอบชั่วดีจึงไม่เกิดขึ้นในสัตว์ ดังนั้นพฤติกรรมเชิงศีลธรรมจึงเกิดขึ้นเฉพาะในมนุษย์ซึ่งสามารถใช้ วิจารณญาณเหตุผลประกอบก่อนที่จะแสดงพฤติกรรมออกมา เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อความอยู่ รอดซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นกลุ่มสังคมทำให้มนุษย์จะต้องแสดงปฏิสัมพันธ์ต่อกัน มีความเห็นและความ ขัดแย้งเกิดขึ้นตามมา การที่มีความเห็นด้วยและความขัดแย้งกันเป็นสาเหตุที่ต้องทำให้มนุษย์ต้องคิดหา วิธีการเหตุผลมาสนับสนุนหรือคัดค้านการแสดงออกต่างๆ เพื่อให้ชีวิตอยู่ได้ในสังคม และทำให้สังคมอยู่อย่างสงบ มีความมั่นคง ไม่วุ่นวาย การฝึกใช้วิจารณญาณความคิดและเหตุผลและประมวลประสบการณ์ ทำให้มนุษย์เกิดความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติได้ถูกน ามาใช้และท าให้กลายเป็นเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ทาง ศีลธรรมซึ่งมีความจำเป็นในสังคม สามัญสำนึกเชิงศีลธรรมของมนุษย์นี้จึงมีวิวัฒนาการไปพร้อมกับ ความคิดโดยเริ่มจากสัญชาตญาณ และการใช้วิจารณญาณต่างๆ ตามลำดับ

ศีลธรรมกับศาสนาพุทธ

ศีลธรรมในศาสนาพุทธหมายถึง เบญจศีล และ เบญจธรรม คือศีล 5 และธรรม 5 ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ของสังคมระดับต้นสำหรับให้สมาชิกสังคมประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสงบสุข ไม่สดุ้งกลัว ไม่หวาดระแวงภัย เป็นหลักประกันสังคมที่สำคัญ สังคมที่สงบสุข ไว้วางใจกันได้ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ไม่เบียดเบียน ไม่ทะเลาะ ไม่กดขี่ข่มเหง ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เป็นต้น ก็เพราะสมาชิกของสังคมยึดมั่นอยู่ในหลักศีลธรรมนี้

ศีลธรรมที่อยู่เหนือกาลเวลาและวัฒนธรรม

ศีลธรรมส่วนใหญ่ไม่ได้รับการแก้ไข พวกเขามักจะเปลี่ยนและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

ในบางภูมิภาค วัฒนธรรม และศาสนา การใช้การคุมกำเนิดถือเป็นการผิดศีลธรรม ในส่วนอื่นๆ ของโลก บางคนถือว่าการคุมกำเนิดเป็นสิ่งที่ต้องทำ เนื่องจากช่วยลดการตั้งครรภ์โดยไม่ได้วางแผน จัดการประชากร และลดความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ศีลธรรมบางอย่างดูเหมือนจะอยู่เหนือโลกและข้ามกาลเวลา นักวิจัยได้ค้นพบว่าศีลธรรมทั้งเจ็ดนี้ดูค่อนข้างเป็นสากล

  • กล้าหาญไว้
  • ยุติธรรม
  • ไม่รักษาอำนาจ
  • ช่วยกลุ่มของคุณ
  • รักครอบครัว
  • ตอบแทนบุญคุณ
  • เคารพผู้อื่น

ศีลธรรมกับกฎหมาย

ทั้งกฎหมายและศีลธรรมมีขึ้นเพื่อควบคุมพฤติกรรมในชุมชนเพื่อให้ผู้คนอยู่ร่วมกันได้ ทั้งสองมีรากฐานที่มั่นคงในแนวคิดที่ว่าทุกคนควรมีเอกราชและเคารพซึ่งกันและกัน

นักคิดทางกฎหมายตีความความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับศีลธรรมต่างกัน บางคนโต้แย้งว่ากฎหมายและศีลธรรมเป็นอิสระ ซึ่งหมายความว่าไม่สามารถละเลยกฎหมายได้เพียงเพราะพวกเขาไม่สามารถป้องกันได้ทางศีลธรรม

คนอื่นเชื่อว่ากฎหมายและศีลธรรมเป็นที่พึ่งพิงซึ่งกันและกัน นักคิดเหล่านี้เชื่อว่ากฎหมายที่อ้างว่าควบคุมความคาดหวังด้านพฤติกรรมต้องสอดคล้องกับบรรทัดฐานทางศีลธรรม ดังนั้นกฎหมายทุกฉบับจึงต้องรักษาสวัสดิภาพของบุคคลและอยู่ในสถานที่เพื่อประโยชน์ของชุมชน

อาจมีบางครั้งที่บางคนโต้แย้งว่าการทำผิดกฎหมายเป็น “ศีลธรรม” ที่ต้องทำ ตัวอย่างเช่น การขโมยอาหารไปเลี้ยงคนหิวโหยอาจผิดกฎหมาย แต่ก็อาจถือได้ว่าเป็น “สิ่งที่ถูกต้อง” หากเป็นวิธีเดียวที่จะป้องกันไม่ให้ผู้อื่นทุกข์ทรมานหรือตายได้

ingaplife

ความรู้ศีลธรรม

ความหมาย, ความสำคัญ, และการพัฒนาจริยธรรม

X

ความหมายของจริยธรรม

Advertisements

คำว่า “จริยธรรม” แยกออกเป็น จริย + ธรรม ซึ่งคำว่า จริย หมายถึง ความประพฤติหรือกิริยาที่ควรประพฤติ ส่วนคำว่า ธรรม มีความหมายหลายประการ เช่น คุณความดี, หลักคำสอนของศาสนา, หลักปฏิบัติ เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกันเป็น “จริยธรรม” จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า “หลักแห่งความประพฤติ” หรือ “แนวทางของการประพฤติ”

คำว่าจริยธรรมมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่าจริยศาสตร์ นอกจากนี้ ยังมีคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันอีกหลายคำ บางครั้งก็มีการนำมาใช้แทนกัน ซึ่งให้ความหมายทั้งที่เหมือนกันและแตกต่างกัน ดังนั้น การทำความเข้าใจความหมายและขอบข่ายของจริยธรรมกับศัพท์เกี่ยวข้องในหลายมุมมอง ทำให้ทราบถึงทรรศนะมุมมองของผู้รู้ต่าง ๆ ที่พยายามศึกษาแนวคิดจริยธรรมในด้านที่แตกต่างกันออกไป

ความสำคัญของจริยธรรม

จริยธรรมมีความสำคัญสำหรับเป็นแนวทางแห่งความประพฤติปฏิบัติสำหรับตนเองและสังคมโดยรวม ซึ่งเมื่อบุคคลได้นำมาปฏิบัติแล้ว ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์สุข มีความสงบและเจริญก้าวหน้า องค์การใดหรือหมู่คณะใด ได้ประพฤติปฏิบัติในหลักของจริยธรรมแล้ว ย่อมเป็นสังคมแห่งอารยะ คือ สังคมแห่งผู้เจริญอย่างแท้จริง โดยมีผู้กล่าวถึงความสำคัญของจริยธรรม ไว้ดังนี้

  1. จริยธรรม เป็นรากฐานของความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคง และความสงบสุขของประชาชน สังคม ประเทศชาติ เพราะประเทศชาติแม้จะได้รับการพัฒนาในด้านวัตถุ เทคโนโลยี ความทันสมัยของวิทยาการต่างๆ มากมายเพียงใด หากแต่ขาดจริยธรรมแล้ว การพัฒนาที่ยั่งยืนก็ไม่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เพราะเป็นการพัฒนาที่ก่อให้เกิดการแข่งขัน แย่งชิง และเบียดเบียนทำร้ายซึ่งกันและกัน
  2. การพัฒนาบ้านเมือง ต้องพัฒนาด้านจิตใจก่อน เพราะการพัฒนาจิตใจของคนในสังคม หมายถึง การพัฒนารากฐานแห่งความเป็นมนุษย์ เมื่อรากฐานแห่งความเป็นมนุษย์ถูกเติมเต็มในจิตใจแล้ว การพัฒนาในด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และการพัฒนาด้านอื่นๆ ย่อมเจริญรุดหน้าไปด้วย และถือได้ว่าเป็นการพัฒนาที่สร้างสรรค์
  3. จริยธรรมมิได้จำกัดความหมายอยู่ที่การถือศีล การเข้าวัดปฏิบัติธรรม เจริญจิตภาวนาโดยไม่มุ่งทำประโยชน์ต่อสังคมเท่านั้น หากแต่หมายถึง การประพฤติปฏิบัติโดยวางรากฐานความคิด ความเห็นที่ถูกต้อง การทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ เว้นสิ่งที่ควรเว้น กระทำในสิ่งที่ควรทำ ดำเนินชีวิตถูกต้องตามเหตุผล ตามกาลเทศะ ดังนั้น จริยธรรมจึงมีความจำเป็นและมีคุณค่าก่อให้เกิดประโยชน์แก่คนในสังคม
  4. จริยธรรม เป็นเครื่องควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในสังคมให้เกิดการยอมรับในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น จริยธรรมจะเป็นเครื่องมือหล่อหลอมให้คนเกิดความรัก ความสามัคคีต่อกัน ประพฤติปฏิบัติต่อกันด้วยความเอื้ออาทร ต่อผู้อาวุโสกว่า และมีความอ่อนโยนต่อผู้ที่ด้อยกว่าทั้งด้านอายุ ตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือสถานภาพทางสังคม

จริยธรรมมีส่วนในการช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตทำให้มนุษย์รู้จักตนเองมากขึ้น จริยธรรมเป็นวิถีทางแห่งปัญญา มีส่วนช่วยในการสร้างสันติภาพในสังคมและโลก ช่วยให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีระเบียบ ทำให้มนุษย์สามารถปรับตัวเข้ากับบุคคลอื่นและสังคมได้ จริยธรรมยังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและเป็นหลักปฏิบัติทำให้มนุษย์มีความหนักแน่น ช่วยทำให้มนุษย์สามารถกำหนดเป้าหมายของชีวิตได้และช่วยให้มนุษย์สามารถแก้ไขปัญหาชีวิตได้

สรุปได้ว่า ทั้งความหมายและความสำคัญของจริยธรรมเป็นแบบอย่างของความประพฤติปฏิบัติของบุคคลที่สังคมยอมรับว่าดีมีประโยชน์ และเมื่อบุคคลได้ประพฤติปฏิบัติแล้วย่อมยังประโยชน์สุขให้แก่ตนเองและสังคมโดยรวม

จะเห็นได้ว่า จริยธรรมมีความสำคัญทั้งในระดับชีวิตส่วนตน ซึ่งหมายถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เป็นผู้มีจิตใจที่ดีงาม เกิดความสงบความระลึกได้ และกระทำในสิ่งที่ถูกต้องต่อตนเองและผู้อื่น ส่งผลให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และระดับส่วนรวมซึ่งหมายถึงความสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ ลดเงื่อนไขความขัดแย้งในสังคม การปฏิบัติตามหลักจริยธรรมจะนำมาซึ่งสันติภาพในองค์การ ชุมชน สังคม รวมทั้งสร้างสันติภาพในโลก

ผู้มีจริยธรรมจะเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะดังนี้ 

  1. เป็นผู้ที่มีความเพียรความพยายามประกอบความดี ละอายต่อการปฏิบัติชั่ว
  2. เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต ยุติธรรม และมีเมตตากรุณา
  3. เป็นผู้มีสติปัญญา รู้สึกตัวอยู่เสมอ ไม่ประมาท
  4. เป็นผู้ใฝ่หาความรู้ ความสามารถในการประกอบอาชีพ เพื่อความมั่นคง
  5. เป็นผู้ที่รัฐสามารถอาศัยเป็นแกนหรือฐานให้กับสังคม สำหรับการพัฒนาใดๆ ได้

แนวทางการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม

การพัฒนาจิตใจในลักษณะที่สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน ซึ่งผลที่ปรากฏในปัจจุบันก็คือ มีการเผยแผ่ธรรมะทางสื่อต่าง ๆ มากมาย วัดวาอารามก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมส่วนช่วยในการอบรมสั่งสอนด้วย จริยธรรมเป็นจริยสมบัติ หน่วยงานต่างๆ ก็ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี คนไทยวัยหนุ่มสาวและเยาวชนได้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก จากที่เห็นได้จากสื่อและข่าวต่าง ๆ เนื่องจากจริยธรรมเป็นคุณสมบุติที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการวัดคุณภาพของคน ซึ่งมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของประชากรทั้งประเทศ

  1. พัฒนาจิตใจประชากรกลุ่มเป้าหมาย โดยให้ผู้นำแต่ละกลุ่มเป็นผู้บริหารเปลี่ยนแปลง
  2. ให้สถาบันของสังคมและครอบครัวทำหน้าที่อันถูกต้อง ชอบธรรมของตนเอง แก้ไขข้อบกพร่องโดยรีบด่วน
  3. บรรจุการพัฒนาจิตใจในหลักสูตร การฝึกอบรมทุกหลักสูตร และให้ดำเนินการพัฒนาต่อเนื่องต่อไป
  4. ให้มีการพัฒนาวิธีปลูกฝัง อบรม สั่งสอนศีลธรรม จริยธรรม ตามความเหมาะสมของกลุ่มเป้าหมายให้เป็นที่น่าสนใจ
  5. สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมของสังคมอันได้แก่ศิลปะ วัฒนธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่ถูกต้องดีงามตามหลักศีลธรรมและจริยธรรม

หลักจริยธรรมทั้งสองประการมีความเกี่ยวข้องกันในลักษณะที่ว่า หากมีความเชื่อมั่นศรัทธาที่มีหลักการ แต่ไม่มีความรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดจากความรู้สึกเช่นนั้น คนที่มีความเชื่อมั่นศรัทธาที่มีหลักการจะได้รับความเคารพ แต่จะไม่มีผู้ใดยอมให้เป็นนักการเมือง หากผู้นั้นไม่มีความรับผิดชอบ เพราะอาจใช้ความรุนแรงจากการมีอำนาจที่ชอบธรรม โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ ที่จะติดตามมา นักการเมืองลักษณะนี้ย่อมเป็นบุคคลอันตรายต่อประเทศชาติและประชาชน

ingaplife

ความรู้จริยธรรม

หลักคุณธรรมพื้นฐานที่พึงมีในชีวิต

X
Advertisements

คุณธรรม คือคุณธรรมที่เป็นเลิศ คุณธรรมเป็นลักษณะหรือคุณสมบัติที่ถือว่าเป็นคุณธรรมที่ดีและมีค่าเป็นรากฐานของหลักการและศีลธรรมอันดี กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นพฤติกรรมที่แสดงมาตรฐานทางศีลธรรมอันสูงส่ง ทำสิ่งที่ถูกต้องและหลีกเลี่ยงสิ่งที่ผิด

หลักของคุณธรรมคือ

คุณธรรม คือ ความดีงามที่ถูกปลูกฝังขึ้นในจิตใจ มีความกตัญญู ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ สามัคคี มีวินัย มีน้ำใจ และ เป็น สุภาพชน เป็นต้น จนเกิดจิตสำนึกที่ดี รู้สึกรับผิดชอบ ชั่ว ดี เกรงกลัวต่อการกระทำความชั่ว โดยประการต่างๆ เมื่อจิตเกิด คุณธรรมขึ้นแล้ว จะทำให้เป็นผู้มีจิตใจดี และคิดแต่สิ่งที่ดี จึงได้ชื่อว่า “เป็นผู้มีคุณธรรม”

 ลักษณะของนั้นคุณธรรมเป็นสิ่งละเอียดอ่อนอยู่ในจิตใจของแต่ละคน ไม่อาจวัดหรือควบคุมได้ด้วยกฎ ระเบียบ  หรือข้อบังคับใดๆ แต่ควบคุมด้วยจิตสำนึกของตนเอง ผู้ที่มีจิตสำนึกในคุณธรรมสามารถห้ามความคิดไม่ถูกต้องของตนองได้ และสามารถยับยั้งการกระทำที่ไม่สมควรและอาจสามารถควบคุมตนเองให้ประพฤติปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ดีได้ จึงจะได้รับการยกย่องนับถือว่าเป็นคนดีอย่างแท้จริง เพราะว่า คนที่มีคุณธรรมจะต้องมีองค์ประกอบตามหลักดังต่อไปนี้

คุณธรรมพื้นฐานในมนุษย์

  1. เป็นคนจริง
  2. รู้จักควบคุมบังคับตนเอง
  3. มีความอดกลั้น และอดทน
  4. รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และมีเมตตา
  5. มีวินัย รักษาหลักการ กฎ กติกา
  6. มีความสงสาร มีความอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ชื่นชมเมื่อผู้อื่นได้ดี
  7. รู้จักปล่อยวาง

9 คุณธรรมพื้นฐานที่ต้องฝึกและพึงมี

  1. ความขยัน ต้องมีความตั้งใจเพียรพยายาม ทำหน้าที่ของตนเองการเรียน การงานอย่างจริงจัง และต่อเนื่องในเรื่องที่ถูก มีความพยายาม ไม่ท้อถอย กล้าเผชิญอุปสรรค รักงานที่ทำ
  2. ความมีวินัย ปฏิบัติตนในขอบเขต กฎระเบียบของสถานศึกษา สถาบัน องค์กร สังคมและประเทศโดยที่ตนเองยินดีปฏิบัติตามอย่างเต็มใจและตั้งใจ ยึดมั่นในระเบียบแบบแผน ข้อบังคับและข้อปฏิบัติ รวมถึงการมีวินัยทั้งต่อตนเองในการทำเป้าหมายให้ตนเองดีขึ้นและสังคมดีขึ้น
  3. ความซื่อสัตย์ มีความประพฤติตรงทั้งต่อเวลา ต่อหน้าที่ และต่อวิชาชีพ มีความจริงในปลอดจากความรู้สึกลำเอียง หรืออคติ ไม่ใช้เล่ห์กลคดโกงทั้งทางตรงและทางอ้อมรับรู้หน้าที่ของตนเอง ปฏิบัติอย่างเต็มที่และถูกต้อง
  4. ความสุภาพ มีความอ่อนน้อมถ่อมตนตามสถานภาพและกาลเทศะ มีสัมมาคารวะ เรียบร้อย ไม่ก้าวร้าวรุนแรง หรืวางอำนาจข่มผู้อื่นทั้งโดยวาจาและท่าทาง มีมารยาทดีงาม วางตนเหมาะสมตามวัฒนธรรมไทย
  5. ความกตัญญู ปฏิบัติตนเห็นคุณค่าแห่งการกระทำดี หรืออุปการคุณของผู้มีพระคุณ เช่น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ครูอาจารย์ หรือผู้อื่น พร้อมที่จะแสดงออกเพื่อบูชา และตอบแทนคุณความดีนั้นด้วยการกระทำ การพูดและการระลึกถึงด้วยความบริสุทธิ์ใจ
  6. ความถ่อมตน ดำเนินชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายรู้จักฐานะการเงินของตน คิดก่อนใช้ คิดก่อนซื้อเก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สิน สิ่งของอย่างคุ้มค่าไม่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ รู้จักทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ของตนเองอยู่เสมอ
  7. ความสามัคคี เปิดใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้บทบาทของตนทั้งในฐานะผู้นำและผู้ตามที่ดีมีความมุ่งมั่นต่อการรวมพลัง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อให้การงานสำเร็จลุล่วง สามารถแก้ปัญหาและขจัดความขัดแย้งได้ เป็นผู้มีเหตุผล ยอมรับความแตกต่าง ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความคิด ความเชื่อ พร้อมที่จะปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติและอย่างสมานฉันท์
  8. ความสะอาด รักษาร่างกาย ที่อยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อมได้อย่างถูกต้องตามสุขลักษณะฝึกฝนจิตใจมิให้ขุ่นมัว มีความแจ่มใสอยู่เสมอ ปราศจากความมัวหมองทั้ง กาย ใจ และสภาพแวดล้อม มีความผ่องใสเป็นที่เจริญตา ทำให้เกิดความสบายใจแก่ผู้พบเห็น
  9. ความมีน้ำใจ มีหัวใจที่เป็นผู้ให้ เป็นผู้ให้และผู้อาสาช่วยเหลือสังคมรู้จักแบ่งปันเสียสละความสุขส่วนตน เพื่อทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นเห็นอก เห็นใจและเห็นคุณค่าในเพื่อนมนุษย์ มีความเอื้ออาทรเอาใจใส่ อาสาช่วยเหลือสังคมด้วยแรงกายและสติปัญญา ลงมือปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาหรือร่วมสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นในชุมชน

คุณธรรมเป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงมาตรฐานทางศีลธรรม และเป็นรูปแบบของความคิดและการกระทำบนพื้นฐานของ มาตรฐานทางศีลธรรม คุณธรรมอาจนับรวมในบริบทกว้างๆของค่านิยม บุคคลแต่ละคนละมีแก่นของค่านิยมภายใจที่ เป็นหลัก ของความเชื่อ ความคิด ความเห็น ของคนๆนั้น ความซื่อสัตย์ต่อเอง ในแง่ของค่านิยม คือคุณธรรมที่ เชื่อมค่านิยมของ คนๆนั้นเข้ากับ ความเชื่อ ความคิด ความเห็น และ การกระทำของเขา สังคมมีค่านิยมร่วมที่คนในสังคมยึดถือร่วมกัน ค่านิยมส่วน ตัว โดยทั่วไปแล้ว มักจะเข้ากับค่านิยมของสังคม

หลักคุณธรรมตามหลักศาสนาพุทธ

พุทธศาสนิกชนปฏิบัติตามแนวทางของมรรค 8 ซึ่งอาจนับเป็นรายการจำแนกคุณธรรม ดังนี้

  1. สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ หมายถึง เห็นถูกตามความเป็นจริงด้วยปัญญา เข้าใจอริยสัจ 4
  2. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ หมายถึง การใช้สมองความคิดพิจารณาแต่ในทางกุศลหรือความดีงาม
  3. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ หมายถึง การพูดสนทนา แต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม
  4. สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติดีงาม ทางกายหรือกิจกรรมทางกายทั้งปวง
  5. สัมมาอาชีวะ คือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน
  6. สัมมาวายามะ คือ ความอุตสาหะพยายาม ประกอบความเพียรในการกุศลกรรม
  7. สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ
  8. สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลส นิวรณ์อยู่เป็นปกติ

ingaplife

คุณธรรมสร้างชีวิต

ความหมายบทร้อยกรอง พร้อมตัวอย่างบทกลอนร้อยกรอง

X
Advertisements

บทความนี้บอกกล่าวเกี่ยวกับความหมายของบทร้อยกรอง ลักษณะความเป็นมา เข้าใจคำประพันธ์ที่อยู่ในตำราฉันทลักษณ์ คุณค่า พร้อมตัวอย่างของบทร้อยกรอง

ความหมายบทร้อยกรอง พร้อมตัวอย่างบทกลอนร้อยกรอง

บทร้อยกรองคือ

บทร้อยกรอง หมายถึง คำประพันธ์ที่แต่งขึ้นโดยมีข้อบังคับหรือฉันทลักษณ์ จำกัดคำและวรรคตอนให้สัมผัส กันไพเราะตามเกณฑ์ที่ได้วางไว้ในฉันทลักษณ์ เช่น กลอนสุภาพ โคลงสี่สุภาพ กาพย์ยานี 11 และ กาพย์ฉบับ 16 ฯลฯ คำว่า “บทร้อยกรอง” มีคำที่ใช้เรียกแตกต่างกันหลายๆ อย่าง เช่น คำประพันธ์คำประพันธ์ ร้อยกรอง กาพย์กลอน กวีนิพนธ์หรือบทกวีซึ่งมีคุณค่าต่อผู้อ่าน

โดยถ้อยคำที่เรียบเรียงให้เป็นระเบียบตามบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์โดยมีกำหนดข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความครึกครื้น และมีความไพเราะแตกต่างไปจากถ้อยคำธรรมดา ในการอ่านบทร้อยกรองนั้น เราเรียนกว่า “การอ่านทำนองเสนาะ”

การอ่านทำนองเสนาะคือ วิธีการอ่านออกเสียงอย่างไพเราะตามลีลาของบทร้อยกรองประเภท โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ( พจนานุกกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หน้า 528 ) บางคนให้ความหมายว่า การอ่านทำนองเสนาะ คือ การอ่านตามทำนอง ( ทำนอง = ระบบเสียงสูงต่ำ ซึ่งมีจังหวะสั้นยาว ) เพื่อให้เกิดความเสนาะ ( เสนาะ , น่าฟัง , เพราะ , วังเวงใจ )

การอ่านทำนองเสนาะเป็นการอ่านให้คนอื่นฟัง ฉะนั้นทำนองเสนาะต้องอ่านออกเสียง เสียงทำให้เกิดความรู้สึก ทำให้เห็นความงาม เห็นความไพเราะ เห็นภาพพจน์ ผู้ฟังสัมผัสด้วยเสียงจึงจะเข้าถึงรสและความงามของบทร้อยกรองที่เรียนกว่า อ่านแล้วฟังพริ้งเราะเสนาะโสต การอ่านทำนองเสนาะจึงมุ่งให้ผู้ฟังเข้าถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรอง

คำประพันธ์ที่อยู่ในตำราฉันทลักษณ์ยังมีอีกมาก จำแนกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 5 ประเภท คือ

  1. กาพย์ แบ่งเป็น กาพย์ยานี กาพย์ฉบัง กาพย์สุรางคนางค์ กาพย์ขับไม้
  2. กลอน แบ่งเป็น กลอนแปดและกลอนหก ซึ่งจัดเป็นกลอนสุภาพ และยังมีรูปแบบอื่น ๆ ได้อีก คือ ดอกสร้อย สักวา เพลงยาว เสภา นิราศ กลอนบทละคร กลอนเพลงพื้นเมืองและกลอนกลบทต่างๆ
  3. โคลง แบ่งเป็น โคลงสอง โคลงสาม โคลงสี่ ซึ่งอาจแต่งเป็นโคลงสุภาพหรือโคลงดั้นก็ได้ นอกจากเป็นโคลงธรรมดาแล้ว ยังแต่งเป็นโคลงกระท ู้ และโคลงกลอักษรได้อีกหลายแบบ
  4. ฉันท์ แบ่งเป็นหลายชนิดเ ช่น วิชชุมมาลาฉันท์ มาณวกฉันท์ อินทรวิเชียรฉันท์ ภุชงค์ประยาตฉันท์ อีทิสังฉันท์ วสันตดิลกฉันท์ สาลินีฉันท์ ฯลฯ ล้วนแต่มี ชื่อไพเราะๆ ทั้งนั้น
  5. ร่าย แบ่งเป็นร่ายสั้นและร่ายยาว ร่ายสั้นนั้นมีทั้งร่ายสุภาพและร่ายดั้น

คุณค่าของบทร้อยกรอง

  1. ช่วยให้เข้าถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรองที่อ่าน
  2. ช่วยให้ได้รับความไพเราะและเกิดความซาบซึ้ง
  3. ช่วยให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน
  4. ช่วยให้จำบทร้อยกรองได้รวดเร็วและแม่นยำ
  5. ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เป็นคนอ่อนโยนและเยือกเย็น
  6. ช่วยสืบสานศิลปวัฒนธรรมในการอ่านทำนองเสนาะไว้เป็นมรดกของ

ตัวอย่างบทกลอนร้อยกรอง

บทร้อยกรองคิดให้รอบคอบ

บทร้อยกรองคิดให้รอบคอบ

เป็นคนคิดแล้วจึง เจรจา

อย่ามลนหลับตา แต่ได้

เลือกสรรหมั่นปัญญา ตรองตึก

สติริรอบให้ ถูกแล้วจึงทำ

บทร้อยกรองรักเมืองไทย

บทร้อยกรองรักเมืองไทย

คนไทยนี้ดี เป็นพี่เป็นน้อง

เมืองไทยเมืองทอง เป็นของคนไทย

คนไทยเข้มแข็ง ร่วมแรงร่วมใจ

รักชาติยิ่งงใหญ่ ไทยสามัคคี

ธงไทยไตรรงค์ เป็นธงสามสี

ทั้งสามสิ่งนี้ เป็นที่บูชา

สีแดงคือชาติ สีขาวศาสนา

น้ำเงินงงามตา พระมหากษัติย์ไทย

เรารักเพื่อนบ้าน ไม่รานรุกใคร

เมื่อยามมีภัย ร่วมใจป้องกัน

เรารักท้องถิ่น ทำกินแบ่งปัน

ถิ่นไทยเรานั้น ช่วยกันดูแล

บทร้อยกรองรักษาป่า

บทร้อยกรองรักษาป่า

นกเอ๋ยนกน้อยน้อย บินล่องลอยเป็นสุขศรี

ขนขาวราวสำลี อากาศดีไม่มีภัย

ทุกทิศเจ้าเที่ยวท่อง ฟ้าสสีทองอันสดใส

มีป่าพาสุขใจ มีแต้ไม้มีลำธาร

ผู้คนไม่มมีโรค นับเป็นโชคสุขสำราญ

อากาศไร้พิษสาร สัตว์ชื่นบานดินชื่นใจ

คนสัตว์ได้พึ่งป่า มารักษาป่าไม้ไทย

สิ้นป่าเหมือนสิ้นใจ ช่วยปลูกใหม่ไว้ทดทน

บทร้อยกรองสักวา

บทร้อยกรองสักวา

สักวาหวานอื่นมหมื่นแสนไม่

เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม

กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวง

พะยอมอาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลม

ลมแม้นล้อลามหยามหยาบ

ไม่ปลาบปลื้มดังดูดดื่มบอระเพ็ด

ต้องเข็ดขมผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบ

อารมณ์ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย

บทร้อยกรองเด็กน้อย

บทร้อยกรองเด็กน้อย

เด็กเอ๋ยเด็กน้อย

ความรู้เรายังด้อยเร่งศึกษา

เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา

เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน

ได้ประโยชน์หลายสถานเพราะการเรียน

จงพากเพียรไปเถิดจะเกิดผล

ถึงลำบากตรากตรำก็จำทน

เกิดเป็นคนควรหมั่นขยันเอย

บทร้อยกรองแม่ไก่อยู่ในตระกร้า

บทร้อยกรองแม่ไก่อยู่ในตระกร้า

แม่ไก่อยู่ในตะกร้า ไข่ไข่มาสี่ห้าใบ

อีแม่กาก็มาไล่ อีแม่ไก่ไล่ตีกา

หมาใหญ่ก็ไล่เห่า หมูในเล้าแลดูหมา

ปูแสมแลปูนา กะปูม้าปูทะเล

เต่านาแลเต่าดำ อยู่ในน้ำกะจระเข้

ปลาทุอยู่ทะเล ปลาขี้เหร่ไม่สู้ดี

บทร้อยกรองฝนตกแดดออก

บทร้อยกรองฝนตกแดดออก

ฝนตกแดดออก นกกระจอกแปลกใจ

โผผิดบินไป ไม่รู้หนทาง

ไปพบมะพร้าว นกหนาวครวญคราง

พี่มะพร้าวใจกว้าง ขอพักสักวัน

ฝนตกแดดออก นกกระจอกพักผ่อน

พอหายเหนื่อยอ่อน บินจนผานผัน

ขอบใจพี่มะพร้าว ถึงคราวช่วยกัน

น้ำใจผูกพัน ไม่ลืมบุญคุณ

บทร้อยกรองไก่แจ้

บทร้อยกรองไก่แจ้

ไก่เอ๋ยไก่แจ้

ถึงยามขันขันแซว่กระชั้นเสียง

โก่งงคอเรื่อยร้องซ้องสำเนียง

ฟังเพียงบรรเลงวังเวงดัง

ถ้าตัวเราเหล่านี้หมั่นนึก

ถึงคุณครูผู้ฝึกสอนสั่ง

ไม่มากนักสักวันละสองครั้ง

คงตั้งแต่สุขทุกวันเลย

บทร้อยกรองแมวเหมียว

บทร้อยกรองแมวเหมียว

แมวเอ๋ย แมวเหมียว

รูปร่างประเปรียว เป็นหนักหนา

ร้องงเรียกเหมียวเหมียว ประเดี๋ยวก็มา

เคล้าแข้งเคล้าขา น่าเอ็นดู

รู้จักเอารัก เข้าต่อตั้ง

ค่ำค่ำช้ำนั่ง ระวังหนู

ควรนับว่ามัน กตัญญู

พอดูอย่างงไว้ ใส่ใจเอย

บทร้อยกรองกาดำ

บทร้อยกรองกาดำ

กาเอ๋ยกาดำ

รู้จำรูจักรักเพื่อน

ได้เหยื่อเผื่อแผ่ไม่แชเชือน

รีบเตือนพวกพ้องร้องเรียกมา

เกลื่อนกลุ้มรุมล้อมพร้อมพรัก

น่ารักน้ำใจกระไรหนา

การเผื่อแผ่แน่ะพ่อหนูจงดูกา

มันโอบอารีรักดีนักเอย

ingaplife.com

verse

หลักการเขียนเรียงความ ด้วยวิธีที่ถูกต้อง เข้าใจง่าย

X
Advertisements

หลักการเขียนเรียงความ เป็นการเขียนบรรยาย เพื่อถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก หรือ ประสบการณ์ของผู้เขียนสู่ผู้อ่าน การเขียนเรียงความผู้เขียนจะต้องเรียบเรียงด้วยสำนวนภาษาของ ผู้เขียนเอง โดยใช้ภาษาที่กะทัดรัดสละสลวย และจูงใจให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกสนใจที่จะอ่าน

เรียงความเป็นงานเขียนเชิงวิชาการทั่วไปที่เรามักจะถูกขอให้ทำในหลายชั้นเรียน ก่อนที่เราจะเริ่มเขียนเรียงความ ต้องแน่ใจว่าเราเข้าใจรายละเอียดของงานเพื่อที่เราจะได้รู้ว่าจะเขียนเรียงความอย่างไรและควรเน้นอะไร เมื่อเราเลือกหัวข้อได้แล้ว ให้หาข้อมูลขอบเขตหลักที่เราต้องการสร้างให้แคบลง จากตรงนั้น เราจะต้องเขียนโครงร่างและเขียนเรียงความของเรา ซึ่งประกอบด้วยคำนำ เนื้อหา และบทสรุป หลังจากที่เขียนเรียงความของเราแล้ว ให้ใช้เวลาทบทวนเพื่อให้แน่ใจว่างานเขียนของเรามีความละเอียดมากที่สุด

หลักการเขียนเรียงความ ด้วยวิธีที่ถูกต้อง เข้าใจง่าย

องค์ประกอบของเรียงความ

โดยทั่วไปแล้วเรียงความจะมีหลักๆ ทั้ง 3 อย้่างคือ

  • คำนำ เป็นส่วนแรกของเรียงความ ทำหน้าที่เปิดประเด็นเข้าสู่เนื้อหา และเป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดใจผู้อ่าน
  • เนื้อหา ส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของเรียงความ
  • สรุป เป็นส่วนสุดท้ายของเรียงความ เป็นการกล่าวสรุปสาระสำคัญเพื่อเน้นย้ำ ใช้คำไม่มากแต่สื่อความหมายชัดเจน

ต่อมาทำความเข้าใจในแต่ละขั้นตอนของเรียงความโดยละเอียด

ทำความเข้าใจกับเรียงความ

สไตล์ โครงสร้าง และจุดเน้นของเรียงความของเราจะแตกต่างกันไปตามประเภทของเรียงความที่เรากำลังเขียน หากเราได้รับมอบหมายให้เขียนเรียงความสำหรับชั้นเรียน ให้ทบทวนงานนั้นอย่างรอบคอบและมองหาข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของเรียงความ เรียงความทั่วไปสองสามประเภท ได้แก่

  • เรียงความเปรียบเทียบ/ความเปรียบต่าง ซึ่งเน้นการวิเคราะห์ความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง 2 สิ่ง เช่น ความคิด ผู้คน เหตุการณ์ สถานที่ หรือผลงานศิลปะ
  • เรียงความบรรยายซึ่งบอกเล่าเรื่องราว
  • เรียงความโต้แย้งซึ่งผู้เขียนใช้หลักฐานและตัวอย่างเพื่อโน้มน้าวให้ผู้อ่านมีความคิดเห็น
  • เรียงความเชิงวิพากษ์หรือเชิงวิเคราะห์ ซึ่งตรวจสอบบางสิ่ง (เช่น ข้อความหรืองานศิลปะ) โดยละเอียด เรียงความประเภทนี้อาจพยายามตอบคำถามเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องหรือเน้นความหมายโดยทั่วไปมากขึ้น
  • เรียงความข้อมูลที่ให้ความรู้ผู้อ่านเกี่ยวกับหัวข้อ

ตรวจสอบข้อกำหนดการจัดรูปแบบและสไตล์

หากเรากำลังเขียนเรียงความสำหรับชั้นเรียนหรือสิ่งพิมพ์ อาจมีข้อกำหนดด้านการจัดรูปแบบและรูปแบบเฉพาะที่เราต้องปฏิบัติตาม อ่านงานที่มอบหมายของเราอย่างรอบคอบเพื่อให้แน่ใจว่าเราเข้าใจข้อกำหนดต่างๆ เช่น

  • เรียงความควรยาวแค่ไหน
  • สไตล์การอ้างอิงที่จะใช้
  • ข้อกำหนดในการจัดรูปแบบ เช่น ขนาดระยะขอบ ระยะห่างบรรทัด ขนาดแบบอักษร

จำกัดหัวข้อให้แคบลงเพื่อให้เรียงความ มีจุดโฟกัสที่ชัดเจน

ขึ้นอยู่กับงานที่มอบหมาย เราอาจมีหัวข้อเฉพาะที่ควรเขียนอยู่แล้ว หรืออาจถูกขอให้เขียนเกี่ยวกับหัวข้อหรือหัวข้อทั่วไป หากงานไม่ได้ระบุหัวข้อ ให้ใช้เวลาระดมความคิด พยายามเลือกหัวข้อเฉพาะเจาะจง น่าสนใจสำหรับ และคิดว่าจะมีเนื้อหามากมายให้ทำงานด้วย

หากเรากำลังเขียนเรียงความตามการวิจัย อาจพบแรงบันดาลใจบางอย่างจากการอ่านผ่านแหล่งข้อมูลสำคัญบางแหล่งในหัวข้อนี้ สำหรับเรียงความที่สำคัญ อาจเลือกที่จะเน้นหัวข้อเฉพาะในงานที่กำลังอภิปราย หรือวิเคราะห์ความหมายของข้อความเฉพาะ

ขอคำชี้แจงหากไม่เข้าใจงานที่มอบหมาย

หากไม่แน่ใจว่าควรเขียนเกี่ยวกับอะไรหรือจัดโครงสร้างเรียงความอย่างไร อย่าลังเลที่จะถาม! ผู้สอนสามารถช่วยชี้แจงสิ่งที่ไม่เข้าใจ และอาจให้ตัวอย่างประเภทของงานที่กำลังมองหาได้

หากมีปัญหาในการจำกัดหัวข้อให้แคบลง ผู้สอนอาจให้คำแนะนำหรือแรงบันดาลใจได้

การวางแผนและการจัดเรียงความ

ค้นหาแหล่งข้อมูลที่มีชื่อเสียงในหัวข้อ

หากกำลังเขียนเรียงความเชิงวิชาการหรือเรียงความประเภทใดก็ตามที่ต้องการให้สนับสนุนคำกล่าวอ้างของด้วยหลักฐานและตัวอย่าง อาจต้องค้นคว้าเพิ่มเติม ไปที่ห้องสมุด หรือบันทึกออนไลน์เพื่อค้นหาแหล่งข้อมูลล่าสุดที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและตรวจสอบได้เกี่ยวกับหัวข้อของ

  • หนังสือและวารสารวิชาการมักจะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดี นอกจากแหล่งข้อมูลการพิมพ์แล้ว อาจสามารถค้นหาข้อมูลที่เชื่อถือได้ในฐานข้อมูลทางวิชาการ เช่น Google Scholar
  • ยังสามารถค้นหาเอกสารต้นทางหลัก เช่น จดหมาย บัญชีของผู้เห็นเหตุการณ์ และรูปถ่าย
  • ประเมินแหล่งที่มาของอย่างมีวิจารณญาณเสมอ แม้แต่รายงานการวิจัยโดยนักวิชาการที่มีชื่อเสียงก็อาจมีอคติที่ซ่อนอยู่ ข้อมูลที่ล้าสมัย และข้อผิดพลาดง่ายๆ หรือตรรกะที่ผิดพลาด

จดบันทึกในขณะที่ค้นคว้า

ขณะที่กำลังค้นคว้าหัวข้อ ให้จดบันทึกโดยละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง แนวคิดที่สนใจ และคำถามที่ต้องสำรวจเพิ่มเติม หากวางแผนที่จะใช้ข้อมูลใดๆ ที่พบในบทความ ให้จดข้อมูลอ้างอิง ซึ่งจะทำให้สามารถค้นหาข้อมูลได้อีกครั้งและอ้างอิงอย่างถูกต้อง

เลือกคำถามที่จะตอบหรือปัญหาที่จะแก้ไข

ในขณะที่ค้นคว้า อาจจะพบว่าตัวเองโฟกัสแคบลงไปอีก ตัวอย่างเช่น คอาจพบว่ามีคำถามใดคำถามหนึ่งที่ต้องการตอบ หรือทฤษฎีที่เป็นที่นิยมเกี่ยวกับหัวข้อซึ่งต้องการพยายามพิสูจน์หักล้าง คำถามหรือประเด็นนี้จะเป็นพื้นฐานสำหรับวิทยานิพนธ์หรือข้อโต้แย้งหลัก

ตัวอย่างเช่น หากเรียงความเกี่ยวกับปัจจัยที่นำไปสู่การสิ้นสุดของยุคสำริดในตะวันออกกลางโบราณ อาจเน้นที่คำถาม “ภัยพิบัติทางธรรมชาติมีบทบาทอย่างไรในการล่มสลายของสังคมยุคสำริดตอนปลาย”

เขียนโครงร่างเพื่อช่วยจัดระเบียบประเด็นหลัก

หลังจากที่สร้างวิทยานิพนธ์ที่ชัดเจนแล้ว ให้เขียนประเด็นสำคัญสั้นๆ ที่จะทำในเรียงความโดยสังเขป ไม่จำเป็นต้องใส่รายละเอียดมากนัก แค่เขียน 1-2 ประโยคหรือสองสามคำโดยสรุปว่าแต่ละประเด็นจะเป็นอย่างไร รวมประเด็นย่อยที่กล่าวถึงหลักฐานและตัวอย่างที่จะใช้เพื่อสำรองแต่ละประเด็น

เมื่อเขียนโครงร่าง ให้คิดว่าต้องการจัดระเบียบเรียงความอย่างไร ตัวอย่างเช่น อาจเริ่มต้นด้วยข้อโต้แย้งที่หนักแน่นที่สุดแล้วย้ายไปที่ข้อโต้แย้งที่อ่อนแอที่สุด หรืออาจเริ่มต้นด้วยภาพรวมทั่วไปของแหล่งข้อมูลที่กำลังวิเคราะห์ จากนั้นไปยังหัวข้อหลัก โทนเสียง และสไตล์ของงาน

การร่างเรียงความ

เขียนบทนำเพื่อให้บริบท

เมื่อเขียนวิทยานิพนธ์และโครงร่างแล้ว ให้เขียนบทนำสู่เรียงความของ สิ่งนี้ควรประกอบด้วยภาพรวมโดยสังเขปของหัวข้อพร้อมกับข้อความวิทยานิพนธ์ นี่คือที่ที่ให้ข้อมูลซึ่งจะช่วยปรับทิศทางผู้อ่านและนำส่วนที่เหลือของเรียงความในบริบทมาใช้

ตัวอย่างเช่น หากกำลังเขียนเรียงความที่มีวิจารณญาณเกี่ยวกับงานศิลปะ การแนะนำตัวของอาจเริ่มต้นด้วยข้อมูลพื้นฐานบางอย่างเกี่ยวกับงานนั้น เช่น ใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา เมื่อไหร่และที่ไหนที่สร้างงานนั้น และคำอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับงานนั้น

ใช้ประโยคเปลี่ยนระหว่างย่อหน้า

เรียงความของจะไหลลื่นดีขึ้นถ้าสร้างความสัมพันธ์หรือการเปลี่ยนระหว่างข้อโต้แย้งอย่างราบรื่น พยายามหาวิธีที่สมเหตุสมผลในการเชื่อมโยงแต่ละย่อหน้าหรือหัวข้อกับย่อหน้าหรือหัวข้อก่อนหน้าหรือหลัง

วลีเฉพาะกาลจะมีประโยชน์ ตัวอย่างเช่น ใช้คำและวลีเช่น “นอกจากนี้” “ดังนั้น” “ในทำนองเดียวกัน” “ตามมา” หรือ “เป็นผล”

อ้างอิงแหล่งที่มาอย่างถูกต้อง

หากวางแผนที่จะใช้ความคิดของผู้อื่นหรือข้อมูลที่ได้รับจากแหล่งอื่น จะต้องให้แหล่งที่มาของข้อมูล สิ่งนี้เป็นจริงไม่ว่ากำลังอ้างอิงแหล่งข้อมูลอื่นโดยตรงหรือเพียงแค่สรุปหรือถอดความคำหรือความคิดของพวกเขา

วิธีที่อ้างอิงแหล่งที่มาจะแตกต่างกันไปตามรูปแบบการอ้างอิงที่ใช้ โดยทั่วไปจะต้องระบุชื่อผู้แต่ง ชื่อเรื่องและวันที่ตีพิมพ์ของแหล่งที่มา และข้อมูลตำแหน่ง เช่น หมายเลขหน้าที่ข้อมูลปรากฏ

โดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงความรู้ทั่วไป ตัวอย่างเช่น หากพูดว่า “ม้าลายเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง” อาจไม่จำเป็นต้องอ้างอิงแหล่งที่มา

หากได้อ้างอิงแหล่งที่มาใดๆ ในเรียงความ จะต้องรวมรายการผลงานที่อ้างถึง (หรือบรรณานุกรม) ไว้ที่ส่วนท้าย

ปิดท้ายด้วยบทส่งท้าย

ในการจบเรียงความ ให้เขียนย่อหน้าที่เน้นย้ำประเด็นหลักของเรียงความของสั้นๆ ระบุว่าข้อโต้แย้งของสนับสนุนวิทยานิพนธ์อย่างไร และสรุปข้อมูลเชิงลึกหรือข้อโต้แย้งที่สำคัญของโดยสังเขป อาจสนทนาคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบหรือแนวคิดที่ควรค่าแก่การสำรวจเพิ่มเติม

ให้ข้อสรุปสั้น แม้ว่าความยาวที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามความยาวของเรียงความ แต่โดยทั่วไปแล้วไม่ควรยาวเกิน 1-2 ย่อหน้า

ตัวอย่างเช่น หากกำลังเขียนเรียงความ 1,000 คำ บทสรุป ควรยาวประมาณ 4-5 ประโยค

สุดท้ายลักษณะของเรียงความที่ดี

  • มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน
  • มีรูปแบบที่ดี ส่วนประกอบครบถ้วน
  • มีคำนำ เนื้อหา สรุป ในสัดส่วนที่เหมาะสม
  • มีโครงเรื่องที่ดีจัดลำดับความสำคัญได้เหมาะสม
  • มีการใช้ถ้อยคำภาษาดี สละสลวย

ingaplife

การเขียนเรียงความ